ตำลึง (Ivy gourd)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของตำลึงคือ :

ตำลึงมีชื่อเรียกอื่นๆอีกดังนี้ : ภาคอีสานเรียกว่า “ตำนิน” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักแคบ” กะเหรี่ยงแถบแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แคเด๊าะ” ภาคกลางเรียกว่า “ผักสี่บาท”

ตำลึงมีถิ่นกำเนิดดังนี้ : ถิ่นกำเนิดของตำลึงขึ้นอยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของตำลึง : ตำลึงเป็นพืชไม้เถาเลื้อยมีอายุหลายปี เถาจะมีลักษณะเป็นสีเขียว เป็นพืชตระกูลเดียวกับบวบ, แตงกวา และน้ำเต้า ตามข้อจะมีหนวดเอาไว้ยึดเกาะต้นไม้อื่นๆ หรือ เกาะหลัก ส่วนใบเป็นใบเดี่ยวออกแบบสลับมีสีเขียว รูปร่างคล้ายห้าเหลี่ยม ผิวเรียบไม่มีขน ขอบใบเว้าลึกเป็นแฉก ส่วนดอกเดี่ยวจะมีสีขาวและมีเกสรสีเหลืองอ่อนอยู่ด้านใน ลักษณะจะคล้ายรูประฆัง ดอกออกตรงซอกใบปลายแผ่กว้างเป็น 5 กลีบดอกตำลึงจะแยกเพศกันอยู่คนละต้น กลีบดอกสีเขียวปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก ถ้าใบจักมากเป็นเพศผู้ โคนติดกันเป็นกรวย เกสรตัวเมียมี 1 อันเกสรตัวผู้มี 3 อัน ผลดิบสีเขียวปะสีขาว รูปร่างกลมรีคล้ายผลแตงแต่ขนาดเล็กกว่า เมื่อสุกจะมีสีแดง

ฤดูกาลของตำลึง : ตำลึงให้ผลผลิตมากในฤดูฝน แต่แตกยอดตลอดปี

โดยแหล่งปลูกและสถานที่พบของตำลึงนั้น : จะขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามสวน หัวไร่ปลายนาและรั้วบ้าน พบได้ทุกภาค ของประเทศไทย และ สวนที่อยู่แถบจังหวัดนนทบุรี จะเป็นแหล่งปลูก เพื่อจำหน่ายยอดอ่อน

ส่วนการกินตำลึงนั้น : นำใบอ่อนและยอดอ่อน มันลวกจิ้มน้ำพริก หรือจะนำมาประกอบอาหารได้ เช่นแกงเลียง, ต้มเลือดหมู, แกงจืด, ใส่ในก๋วยเตี๋ยว, ใส่ยำ หรือ ผัดตำลึงได้ ส่วนใบอ่อน นำไป ดอง ปรุงเป็นแกง หรือ กินกับน้ำพริกก็ได้

คุณประโยชน์และสรรพคุณทางยาของตำลึง :

  1. ตำลึงมีเส้นใยที่จับไนไตรท ได้ดีช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
  2. มีเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด
  3. ใบมีรสเย็นดับพิษร้อน
  4. แก้แสบคัน ตาแฉะ ตาแดง
  5. ในส่วนของรากช่วยถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน นำมาทาถอนพิษ ของตำแย นอกจากนี้
  6. ในใบตำลึง ยังมีน้ำย่อย อะไมเลส ที่มีคุณสมบัติในการย่อยแป้ง
  7. ตำลึงมีวิตามินเอ อยู่มาก ซึ่งจะช่วยบำรุงสายตา
  8. เมล็ดตำผสมกับน้ำมะพร้าว ทาแก้หิด
  9. ดอกมีรสเย็น แก้คันได้
  10. นำเถาของตำลึงชงกับน้ำ แล้วนำไปดื่มจะช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะได้

คุณค่าทางอาหาร ตำลึง 100 กรัม :

  1. ให้พลังงาน 35 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
  2. เบต้าแคโรทีน 699.98 ไมโครกรัม (µg)
  3. แคลเซียม 126 มิลลิกรัม (mg)
  4. เส้นใย2.2 กรัม (g)
  5. วิตามินบี 10.17 มิลลิกรัม (mg)
  6. วิตามินบี 2 0.13 มิลลิกรัม (mg)
  7. วิตามินซี 13 มิลลิกรัม (mg)
  8. เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม (mg)