ดอกข้าวสาร
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Raphistemma hooperianum Decne.
ดอกข้าวสารมีชื่อเรียกตามภาคต่างๆดังนี้ ภาคกลางเรียกว่า ข้าวสาร เครือ ข้าวสาร ชุมพรเรียกว่า เมื่อยสารสกลนครเรียกว่าเคือคิกอุดรธานีเรียกว่าปลายสารและกรุงเทพฯเรียกว่าข้าวสารดอกเล็ก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของดอกข้าวสาร : ดอกข้าวสารเป็นพืชไม้เลื้อย ใบออกเป็นคู่ขนาน รูปลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่ แถบขอบขนาน ปลายใบแหลมสีเขียวขอบใบเรียบ เนื้อใบบาง ฐานใบเว้า ก้านใบเล็กดอกจะออกเป็นช่อตามง่ามใบ แต่ละช่อจะมีดอกย่อยย่อยขนาดเล็กๆ 4 ถึง 7 ดอก มีกลิ่นหอม กลีบดอก หรือกลีบรองดอก จะเป็นรูปไข่ ปลายมน ยาวประมาณ 3-4 cm มีกลีบดอกสีขาว 5 กลีบ เมื่อดอกแก่จะกลายเป็นสีเหลืองนวล หรือสีเหลืองอ่อน ผลจะมีสีเขียว เป็นฝักรูปไข่ ยาวประมาณ14cmแถบขอบขนาน
ฤดูกาลของดอกข้าวสาร : ผลอ่อนจะออกช่วงปลายฤดูฝน ถึงต้นฤดูหนาว แต่ดอกจะออกช่วงฤดูฝน
แหล่งปลูกของดอกข้าวสาร : ดอกข้าวสารสามารถพบได้ ตาม บริเวณสวนที่รกร้าง หรือ ตามชายป่า ธรรมชาติ
การกินของดอกข้าวสาร : ดอกตูมผลอ่อนและยอดอ่อนสามารถนำไปลวกต้มหรือนึ่งกินเป็นผักกินกับน้ำพริกได้ ส่วนดอกที่บานแล้ว นำไปแกงร่วมกับเนื้อสัตว์ต่างๆได้ เช่น ผัดกับน้ำมัน ยำ หรือ แกงส้ม ส่วนเมล็ดข้าวสาร ห้ามกิน เพราะมีสารcardiac glycoside ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
คุณประโยชน์และสรรพคุณทางยาของดอกข้าวสาร : ราก ปรุงเป็นยารักษา โรคตาแดงตาแฉะตามัว และช่วยทำให้อาเจียน
คุณค่าทางอาหารของดอกข้าวสาร 100 กรัม ประกอบด้วย
- ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี่ (Kcal)
- โปรตีน 34 กรัม (g)
- คาร์โบไฮเดรต 4.4 กรัม (g)
- ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม (mg)
- แคลเซียม 0.7 มิลลิกรัม (mg)
- เส้นใย 1.4 กรัม (g)
- เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม (mg)
- Vitamin B102 มิลลิกรัม (mg)
- Vitamin B 20.07 มิลลิกรัม (mg)
- Vitamin C 5 มิลลิกรัม (mg)